ว่านขันหมากเศรษฐี

ว่านขันหมากหรือขันหมากเศรษฐี เป็นว่านที่ปู่ย่าตายายสมัยโบราณนำมาใช้รักษาโรคชนิดต่างๆเพราะในเมล็ดของว่านขันหมากมีเอนไซด์ที่ช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์ทำงานได้ตามปกติ อีกทั้งยังช่วยยับยั้งและป้องกันรักษาเซลล์เนื้อร้ายต่างๆ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ รักษาอาการภูมิแพ้ หอบหืด โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ทางเดินอาหาร ปวดท้องบิด ตะคริว มือเท้าชา ปวดตามแข้งขา เส้นเอ็นตึง รักษาไข้และอาการไอได้ รักษามะเร็งระยะต่างๆ เนื้องอก ซิสส์ เบาหวาน ความดัน ยับยั้งความเสื่อมชราของร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ป้องกันความเสื่อมทางด้านเพศ เป็นสมุนไพรที่มีงานวิจัยรับรองอย่างมากมาย ส่วนต้นเชื่อกันว่านำมาปลูกประดับบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล โชคลาภ ค้าขายร่ำรวย ป้องกันภูติผีได้ ถ้าใครนำมาปลูกแล้วขันหมากออกดอกเชื่อกันว่าเจ้าของบ้านจะมีแต่โชคดี เงินไหลนอง ทองไหลมา เพราะต้นนึงจะออกดอกออกผลใช้เวลาร่วม 3 ปีทีเดียว ถ้าทุกท่านต้องการข้อมูลมากกว่านี้สอบถามได้นะครับ

การค้นพบใหม่ แปลกที่สุดในโลกแต่เป็นความจริง ว่านขันหมากเศรษฐีออกดอกเป็นช่อเหมือนมะลิ ว่านขันหมากสุกแล้ว

      ว่านขันหมากเศรษฐีเป็นสมุนไพรในป่าลึกอันทรงคุณค่า มีสรรพคุณทางการรักษาและป้องกันมากมาย แถวบ้านหมอพืชอานนท์เรียกว่านชนิดนี้ว่า " บักขันหมาก "หรือ"หมากยา" เป็นสมุนไพรโบราณที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์แนะนำต่อๆกันมาตั้งแต่ออกดอกจนถึงระยะลูกสุกกินเวลายาวนานถึง 3 ปีทีเดียว การออกดอกจะออกเป็นช่อทีละช่อ ทีละดอก ...แต่วันนี้ผมจะพามาดูความแปลกใหม่ที่ใครๆก็ต้องงง..ถามคนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักว่านชนิดนี้เองก็ยังตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า " ไม่เคยเจอ..แปลก..! "


http://keaomanarnon.blogspot.com/2012/08/blog-post_7.html..Line ID = 089688946
ว่านขันหมากต้นนี้เป็นว่านขันหมากป่าที่พระอธิการจำปี อธิปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดโนนหินสูง อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ท่านนำมาปลูกไว้ที่วัดแห่งนี้ร่วม 4 ปีแล้ว ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่ชอบช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกผู้ทุกนาม..หมอพืชอานนท์เป็นทั้งศิษย์น้องและโยมอุปัฏฐาก เพราะเคยประพฤติปฏิบัติร่วมกันมาเป็นเวลา 2 ปี... เห็นไหมละครับว่าแปลกแต่จริง...แต่ผมไม่ได้บอกใบ้หวยนะครับ..
บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าไม่มี..อาจจะมีอยู่ก็ได้เพียงแต่เรายังค้นไม่พบเท่านั้น...บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้..อาจจะเป็นไปได้เช่นกันนะครับ
ช่วงนี้ไกล้สุกแล้วนะครับสำหรับลูกสุกของว่านขันหมากเศรษฐี...ปีนี้หมอพืชอานนท์จะเริ่มเก็บลงจากเขาประมาณปลายเดือนกันยายน และมีไว้บริการให้กับผู้ที่สนใจจนถึงปลายเดือนมกราคมนะครับ..ท่านใดที่สนใจโทรมาสั่งจองกันได้นะครับ...สั่งจองกันปากเปล่านะครับไม่ต้องมัดจำเงินกันก็ได้
ปกติเมล็ดสุกของว่านขันหมาก 1 กิโลกรัม เมื่อนับแล้วจะได้ประมาณ 1,000 ลูก ผมแนะนำให้ซื้อเป็นกิโลนะครับจะได้ประหยัดกัน...บางท่านซื้อต่อจากไหนไม่รู้เม็ดละ 10-20 บาท นั่นเท่ากับว่าท่านได้ซื้อลูกว่านกิโลละ 10,000-20,000 บาททีเดียว น่าเห็นใจทีเดียว
หมอพืชอานนท์แบ่งให้กับทุกท่านที่สนใจกิโลกรัมละ 2,000 บาท
- สั่ง 3 กิโล ลดเหลือ 5,000 บาทนะครับ ส่วนลด 1,000 บาท
- สั่ง 6 กิโล ลดเหลือ 10,000 บาท ส่วนลด 2,000 บาท แถมฟรีอีก 1 กิโลกรัม เท่ากับได้ลด 4,000 บาท
- สั่ง 12 กิโล ลดเหลือ 20,000 บาท ส่วนลด 4,000 บาท แถมฟรีอีก 3 กิโลกรัม เท่ากับได้ลด 10,000 บาท
สอบถามได้นะครับที่ หมอพืชอานนท์ 090-9569093 , 089-6889946
http://keaomanarnon.blogspot.com/2012/08/blog-post_7.html

เดินป่าหาว่านขันหมากลำบากมากที่สุดในชีวิต พบความอัศจรรย์มากมายและสุขใจมากที่สุดเช่นกัน

    สวัสดีครับทุกท่าน...วันนี้ผมอดรนทนไม่ไหวอยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆที่ได้ประสบพบเจอจากการเข้าป่าเก็บต้นว่านขันหมากเศรษฐีครั้งล่าสุด " เมื่อวานนี้เองครับ " มาบอกผ่านทางหน้าจอแห่งนี้
- ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับคุณพี่ทางทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ก่อนนะครับมีข่าวดีแจ้งมาให้ผมทราบว่าหลังจากทานว่านขันหมากที่ผมจัดส่งให้ไปแล้ว มะเร็งตับขั้นโคม่าตรวจพบเชื้อที่ 8,000 กว่า ช่วงอาทิตย์แรกๆหลังจากแอบทานว่านขันหมากก็พบว่าอาการดีขึ้นมากเนื้องอกลดลงไป 5 ซม. และผ่านมาหนึ่งเดือนพอดีตอนนี้ค่าของมะเร็งลดลงเหลือที่ 1,000 อาทิตย์หน้าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วพร้อมกับอาการงงๆปนแปลกใจมันเป็นไปได้ยังไง
- อีกท่านนะครับที่เพชรบุรี ทานอาหารไม่ได้ต้องให้ทางสายยาง เป็นมะเร็งในลำไส้ลามถึงกระเพาะอาหาร ต้องให้ยาระงับปวดทุกๆ 2 ชม. หลังจากทานว่านขันหมากไปหนึ่งอาทิตย์ ลดการให้ยาแก้ปวดลงเหลือแค่วันละ 2 ครั้งแทน เคสนี้คุณพี่สวิงที่ดูแลลำบากมากครับเพราะต้องป้อนน้ำต้มยาทางสายยาง ยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ..ขอให้มีปาฏิหารย์หายไวๆ
- อีกเคสพี่ที่อยู่ทางขอนแก่นเป็นมะเร็งรังไข่มาหลายปี ทุกข์ใจมากและปวดบริเวณบั้นเอวและหลังมา 8 ปี ทานว่านขันหมากไปแล้วได้เพียงอาทิตย์เดียว อาการปวดที่รักษามาทุกอย่าง กินยามาทุกขนานหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมเองต้องขอแสดงความยินดีกับคุณพี่ภัทรชนกด้วยนะครับ
     นี่หละครับคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากนำวิชาความรู้ที่มีมาช่วยเหลือผู้คนทุกคนที่เจอความทุกข์กาย ทุกข์ใจ กับภัยของโรคร้ายชนิดต่างๆ...ขอเพียงแค่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น รอยยิ้มอันสุขใจของคนที่ผมให้คำปรึกษาและส่งสมุนไพรว่านขันหมากเศรษฐีไปให้..มันทำให้ผมมีกำลังใจในการเข้าป่าหาว่านขันหมาก ถึงมันจะลำบาก ทุกข์ยาก หนักหนาสาหัสขนาดไหน มันก็ยังสุขใจเพราะความหวัง ความตั้งใจที่อยากให้คนที่มอบความไว้วางใจให้กับผมหายจากโรคร้ายเร็วๆ...ช่วงนี้มีเคสเกี่ยวกับมะเร็งในที่ต่างๆเยอะมากครับต้นว่านที่จะนำมาต้มทานควบคู่กับแคปซูล...ต้องใช้ในปริมาณมากพอสมควรทำให้ผมต้องเข้าป่าเดือนนี้หลายรอบกว่าที่เคย
     และครั้งล่าสุดครับ...เมื่อวานนี้เองที่ผมเดินทางเข้าป่าอีกครั้ง คณะเดินทางของผมก็มี คุณแม่ คุณน้า ภรรยาของผม และลูกชายวัย 14 ขวบ รวม 5 ชีวิตด้วยกัน คนที่น่าหนักใจที่สุดก็คือภรรยาของผมเพราะเธอไม่เคยเดินป่าไกลเกินครึ่งกิโลซักที ทุกๆครั้งผมมักจะขึ้นเขาคนเดียวบ้าง กับพรานคู่ใจบ้าง ครั้งนี้เธอขอเดินทางไปด้วย ห้ามก็ไม่ฟังครับเลยปล่อยเลยตามเลย...ระยะทางเดินขึ้นเขาขาไปครับประมาณ 7 กิโลเมตร เป้าหมายคือ " ด่านขี้ทูต " เป็นสถานที่ผมเคยเดินบุกเที่ยวดงชมไพรสมัย ม.ปลายกันเมื่อ 15 ปีก่อน ระยะทางเดินขาไปนี้ถ้าใครเคยเดินขึ้นภูกระดึงจังหวัดเลย นั่นแหละครับไม่ต่างกันเลยทีเดียว แค่ระยะทางขึ้นเขาลูกแรกต้องพากันหอบแฮกๆๆ..ไปตามๆกันเลยทีเดียว ( เหมือนซำแฮกของภูกระดึงเลย)  และที่เลวร้ายที่สุดครับ 15 ปีที่ผ่านมาผมไม่ได้ขึ้นเขาเขตนี้อีกเลย ทางขึ้นที่เคยมีร่องคนเดินสมัยก่อนเดินไปซักพักไม่มีเหมือนเช่นแต่ก่อน..ผมต้องทบทวนความหลังใหม่อยู่นานทีเดียวจึงตัดสินใจตัดทางขึ้นเขาในทางที่คิดว่าน่าจะใช่ ( เดามั่วหรือเปล่าไม่แน่ใจ ) ประมาณ 5 กิโลเมตรครับลุถึงทางด่านแห่งแรกเป็นป่าหินหรือลานหินเนื้อที่นับร้อยไร่ ผมใจชื้นขึ้นมาทีเดียวเพราะสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านเรียกติดปากกันว่า " ลานหินถ้ำคีม " เป็นลานหินที่งดงามและมีเสน่ห์มากครับ ยิ่งหน้านี้เป็นหน้าฝนด้วยแล้วมีดอกไม้ป่า กล้วยไม้ นานาชนิด ขึ้นกันดาษดื่นตลอดทั้งแนวหินสวยงามจนบรรยายไม่ถูก หลังจากดั้นด้นกันขึ้นมาจนร่างกายโชกไปด้วยเหงื่อกันทุกคน..หายเหนื่อยกันปลิดทิ้งเลยครับ..เมื่อเราได้เจอสวรรค์บนดินกันแบบนี้
http://keaomanarnon.blogspot.com/2012/08/blog-post_7.html
            ผมพาทุกคนลงไปดูถ้ำคีมกันเป็นถ้ำที่มีความเชื่อกันว่าระยะทางยาวกว่า 5 กิโลเมตร ( จริงหรือเท็จผมไม่รู้เหมือนกันเคยมุดกันกับเพื่อนๆเมื่อ 15 ปีก่อน รูเล็กๆพอคนคลานเข้าไปได้แค่นั้น อากาศน้อยมาก ผมคลานเข้าไปได้ประมาณ 30 เมตรแค่นั้นและได้เจอฝาบาตรพระตกอยู่ข้างในจึงพากันคลานถอยหลังออกมาเพราะแทบไม่มีอากาศหายใจกัน ) ออกจากถ้ำคีมกันเดินขึ้นไปทางเหนือประมาณครึ่งกิโลเมตร..ณ.ที่นี้เราได้พบกับฤาษีที่ท่านได้มาบำเพ็ญตนที่เขตภูเขาแห่งนี้ มันเป็นอะไรที่ผมแทบจะบรรยายไม่ถูก มีแต่ความปลาบปลื้มปีติ สุขใจเป็นล้นพ้น เหมือนความฝันก็ไม่ปาน
     หลังจากกราบท่านและได้สนทนาแลกเปลี่ยนกันทั้งทางธรรม และด้านการช่วยเหลือคนแล้วจึงขอตัวท่านออกเดินทางต่อเพราะบ่ายโมงแล้ว ถ้าผ่านมาทางนี้ ขากลับจึงจะแวะกราบลาท่านอีกครั้งนึง เดินกันไปอีกประมาณกิโลครึ่งริมข้างทางได้เจอเห็ดโคนไฟดอกสีแดงอมชมพูกันเก็บได้ประมาณ 1 กิโลกรัมจึงพากันเดินทางต่อไปจนบรรลุถึงเป้าหมายคือ " ด่านขี้ทูต " ดังตั้งใจแต่แรกก่อนขึ้นเขามา ณ.ที่นี้หมอพืชอานนท์ได้สละรองเท้าอีก 1 คู่แล้วครับ ด่านขี้ทูตแห่งนี้เป็นลานหินตะปุ่ม ตะป่ำ มีหินรูปต่างๆมากมายครับ ทั้งรูปเต่า ยานอวกาศ รถมอเตอร์ไซด์ เรือ เสาเฉลียง และหินแปลกๆรูปต่างๆนับร้อยชนิด บนเนื้อที่นับร้อยไร่ทีเดียวติดกับชายแดนประเทศลาว..และที่ด่านแห่งนี้มีดอกไม้สวยๆเยอะมากยังกับว่ามีใครมาจัดและตกแต่งสวนไว้ตามรอยแตกของหินและที่สำคัญ ณ.ที่แห่งนี้มีสระน้ำเล็กที่มีน้ำเต็มตลอดทั้งปี มองลงไปเห็นทรายใต้น้ำระยิบระยับเหมือนน้ำจะตื้นๆแต่เมื่อโดดลงไปแล้วลึกท่วมหัวยื่นสุดแขนก็ยังไม่พ้นน้ำลึกประมาณ 2 เมตร เย็นสบายมาก ผมตั้งชื่อสระน้ำแห่งนี่เมื่อ 15 ปีก่อนว่า "สระอโนดาต "เพราะอยู่ไกล้สวนดอกไม้สวยๆและน้ำใสเย็นตลอดปี
     หลังจากวักน้ำเช็ดหน้าเช็ดคอกันแล้ว ทานอาหารมื้อเที่ยงกับเมนูอร่อยๆกัน " ห่อหมกเห็ดโคนไฟ " ผมรับรองเมนูภัตตาคารไหนๆก็สู้ไม่ได้ ทานข้าวเสร็จเดินหาต้นว่านกันประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นช่วงวัดดวงกันเลยทีเดียวว่าจะมีต้นว่านให้เห็นกันไหม ตอนนี้แหละครับทุกท่าน..ทรมาณสุดๆเลยรองเท้าไม่มีเดินเท้าเปล่าหาต้นว่าน หนาม มด ปลวก ไม่ต้องพูดถึงครับ เลือดไหลซิบๆตลอดเวลา ที่สำคัญฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกแบบไม่ยอมหยุดยังกะฟ้ารั่ว เขาลื่นมากๆครับถลอกปอกเปิกไปตามๆกัน แต่สุดท้ายพวกเราก็ได้เจอต้นว่านขึ้นกันประปรายครับ...เพราะไฟป่าไหม้ไปเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมาต้นว่านตายไปเป็นส่วนมาก แต่ณ.ที่นี้เราได้เจอต้นว่านขันหมากตัวผู้กันหลายสิบต้นทีเดียว หลังจากเก็บต้นว่านกันได้พอสมควรจึงเริ่มหาทางกลับ..ฝนเจ้ากรรมครับผ่านมา 2 ชั่วโมงยังไม่ยอมหยุดอีก และนี่ก็คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความลำบาก ความอดทน อดกลั้น อีกครั้ง ผมหาบต้นว่าน 2 กระสอบ น้ำหนักข้างละประมาณ 30 กิโลกรัมทั้งต้นทั้งดิน เดินกลับทางเดิมกัน แรกๆก็พอทนครับเดินไปประมาณ 500 เมตรหยุดทีนึง วางหาบลงจากบ่ากว่าจะถึงอาศรมของปู่ฤาษีต้องวางหาบประมาณ 7 ครั้ง..จึงพากันกราบลาท่านและถวายต้นว่านขันหมากให้กับท่านหลายสิบต้นจึงเริ่มออกเดินทางต่อกันทันที เพราะไกล้จะ 5 โมงเย็นแล้ว...สุดยอดความลำบากคูณสามครับเดินลงเขาที่เป็นลานหินระยะทางร่วม 2 กิโลเมตรฝนตกไม่หยุด หินลื่นๆ รองเท้าไม่มี หนักสุดๆตั้งแต่เกิดมา ต้องระวังตัวแจไม่ให้ลื่นล้ม...ตัวผมเองไม่ล้มแต่แฟนผมซิครับล้มลุกคลุกคลานหลายรอบทีเดียว น่าสงสารเธอจริงๆเธอไม่เคยเดินทางไกลถึงกิโลซักทีแต่วันนี้ สภาพอากาศแบบนี้ ขึ้นเขาลงห้วยแบบนี้ เหนื่อยและหนักแบบนี้ เธอกัดฟันสู้ไม่ถอย ผมต้องขอบคุณคู่ชีวิตของผมคนนี้จริงๆเพราะถ้าผมมาคนเดียวผมคงไม่มีแรงหาบต้นว่านเหล่านี้แล้ว แต่เมื่อเห็นเธอลำบาก กัดฟันสู้โดยไม่ปริปากขนาดนี้ ผมคือผู้นำครอบครัว คือความหวังของอีกหลายชีวิต ผมจะยอมแพ้เชียวหรือทำให้เต็มที่ทำให้ดีที่สุด..ทุกคนทนได้ผมก็ต้องทนได้

      กว่าจะลงมาถึงตีนเขาต้องวางหาบหยุดพักกันร่วม 30 ครั้ง ผมเองเคยหาบน้ำ..หนักๆก็ไม่เกินกิโลแต่วันนี้หาบหนักๆ ขึ้นเขาลงห้วยแค่ขากลับนับ 7 กิโลเมตรทีเดียวครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่ต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ความพยายามถึงขีดสุด
http://keaomanarnon.blogspot.com/2012/08/blog-post_7.html

      อีกประมาณกิโลกว่าๆจะถึงรถขอถ่ายรูปแบบสู้ๆให้กำลังใจกันหน่อย..เพราะเริ่มมืดแล้วทุ่มๆกว่าๆยังเหลืออีกหลายกิโล ยังไม่เห็นชายป่ากันเลย

     เมื่อสู้เต็มที่แล้วมันต้องพบกับชัยชนะ ถึงไม่ชนะใครก็ช่างแต่เราชนะใจตัวเองให้ได้ก็พอ..ขอขอบคุณคุณแม่ผู้ไม่ยอมแพ้ คุณภรรยาผู้เป็นยาใจ คุณน้าถึงขาไม่ดีแต่ก็สู้ไม่ถอย ลูกชายผู้เดินตามรอยเท้าพ่อไม่ยอมท้อถอย..ขอบคุณทุกแรงใจที่ทำให้ผมได้สร้างความดีไว้ให้กับสังคม...นี่แหละครับที่เหนื่อยๆมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง..ขอบคุณครับ http://keaomanarnon.blogspot.com/2012/08/blog-post_7.html